วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

สัตว์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
 
1. กูปรี หรือ โคไพร (เขมร:  ถอดรูปได้ โคไพร แต่อ่านว่า กูปรี แปลว่า วัวป่า) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos sauveli (Urbain, 1937) เป็นสัตว์จำพวกกระทิงและวัวป่า เป็นสัตว์กีบคู่ ตัวโต โคนขาใหญ่ ปลายหางเป็นพู่ขน

ลักษณะทั่วไป

  • ตัวผู้ มีขนสีดำ ขนาดความสูง 1.71 - 1.90 เมตร ขนาดลำตัว 2.10 - 2.22 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 700 - 900 กิโลกรัม เขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง ขาทั้ง 4 มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง (B. gaurus) ในตัวผู้ที่มีอายุมาก จะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน เชื่อว่าใช้ในการระบายความร้อน
  • ตัวเมีย มีขนสีเทา มีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบน ไม่มีพู่ที่ปลายเขา มีเขากลวงแบบ Horns ขนาด เท่ากัน โคนเขาใหญ่ ปลายเขาแหลม ไม่มีการแตกกิ่ง ยาวประมาณ 1 เมตร

สถานภาพในปัจจุบัน

ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบมานานแล้ว จนครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันเชื่อว่าอาจจะยังพอมีหลงเหลืออยู่ในชายแดนไทยกับกัมพูชาแถบจังหวัดศรีสะเกษ เพราะมักจะมีข่าวว่าพบสัตว์ลักษณะคล้ายกูปรีบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอ นอกจากคำเล่าลือเท่านั้น[3]
ครั้งหนึ่ง เคยเชื่อกันว่า กูปรีอาจจะไม่ใช่วัวสายพันธุ์แท้ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ แต่เป็นเพียงแค่ลูกผสมของวัวบ้าน (B. taurus) กับวัวแดง (B. javanicus) ซึ่งเป็นวัวป่าอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่จากการตรวจสอบด้วยดีเอ็นเอของนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและนักวิทยาศาสตร์ชาวไทยบ่งชี้ว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด


2.สกั๊งค์  เดิมเคยถูกจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกับวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ซึ่งเป็นวงศ์ของสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กจำนวนมาก เช่น วีเซล, มาร์เทิน, หมาหริ่ง, หมูหริ่ง, แบดเจอร์ ซึ่งสกั๊งค์เคยถูกเป็นวงศ์ย่อยใช้ชื่อว่า Mephitinae[1] แต่ปัจจุบันได้มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์พบว่าสกั๊งค์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงศ์เพียงพอน จึงแยกออกมาเป็นวงศ์ต่างหาก

ลักษณะ

โดยทั่วไปแล้ว สกั๊งค์จะมีขนาดลำตัวยาวตั้งแต่ 40 เซนติเมตร ถึง 70 เซนติเมตร และน้ำหนักที่มีตั้งแต่ 0.5 กิโลกรัม ถึง 10 กิโลกรัม แตกต่างออกไปตามแต่ชนิด มีร่างกายที่ยาวพอสมควร มีขาที่ล่ำสัน และมีกรงเล็บหน้าที่ยาวซึ่งทำให้สามารถขุดดินได้เป็นอย่างดี มีขนหางยาวฟูเป็นพวง สีของขนที่พบได้มากที่สุด คือ สีดำที่มีริ้วเป็นสีขาวคล้ายรูปตัววี สกั๊งค์ทุกตัวจะมีริ้วลายตั้งแต่เกิด ถึงแม้ว่ารูปแบบของริ้วลายจะแตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับชนิด ในฤดูหนาวสกั๊งค์จะไม่จำศีลแต่จะเคลื่อนไหวน้อยลง[5]
สกั๊งค์มีประสาทสัมผัสการดมและการได้ยินที่ดีเยี่ยม ทว่ามีประสาทสายตาที่แย่ และเมื่อหลงทางไม่สามารถจดจำทางถิ่นที่อยู่ของตนเองได้ [6]
สกั๊งค์เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน แต่ส่วนมากแล้วจะกินเนื้อสัตว์ เช่น ไส้เดือน, หนอน, ดักแด้, หอยทาก และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก หากมีความจำเป็นยังกินผลไม้ป่าและเมล็ดพืชต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยจะอาศัยอยู่ในสภาพแลดล้อมที่เป็นทุ่งหญ้าโล่งหรือป่าละเมาะ และอาจจะเข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนเมืองของมนุษย์ได้ เช่น เข้าไปอยู่ในท่อระบายน้ำหรือโพรงที่ผู้ขุดไว้ ถือว่าเป็นสัตว์รังควานจำพวกหนึ่ง[5]

การป้องกันตัว

สกั๊งค์เป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการป้องกันตัว ด้วยการฉีดสารเคมีสีเหลืองที่มีกลิ่นฉุนมาก ตลบอบอวลไปในอากาศได้เป็นเวลานาน ซึ่งสารเคมีนี้ปล่อยมาจากต่อมลูกกลมคล้ายลูกองุ่น 2 ต่อมใกล้ก้น เมื่อสกั๊งค์จะปล่อยจะใช้กล้ามเนื้อบีบพ่นออกมา ซึ่งสามารถพุ่งได้ไกลถึง 25 ฟุต[6] แม้จะหันหลังให้ก็ตาม แต่ก็สามารถปล่อยได้แม่นยำโดยเฉพาะใส่บริเวณใบหน้าและดวงตาของผู้รุกราน ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้รู้สึกแสบร้อน และตาบอดไปชั่วขณะ เพื่อที่สกั๊งค์จะได้มีเวลาหนี แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้กับสัตว์นักล่าทุกประเภท เช่น นกเค้าใหญ่ซึ่งไม่มีประสาทดมกลิ่นและจู่โจมเหยื่อส่วนหลังจากบนอากาศอย่างเงียบเฉียบ และหากสกั๊งค์ปล่อยสารเคมีนี้แล้ว ต้องใช้เวลานานถึง 10 วัน ที่จะผลิตสารนี้ให้เต็ม ดังนั้นสกั๊งค์จึงไม่ใช้วิธีนี้บ่อย ๆ หากไม่จำเป็นจริง ๆ[7]
สกั๊งค์ มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ มีระยะเวลาการตั้งท้องประมาณ 9 สัปดาห์ โดยปกติแล้วจะออกลูกเพียงแค่ครอกเดียวต่อปี และโดยปกติแล้วจะมีลูกประมาณ 3-4 ตัวต่อครอก ลูกสกั๊งค์จะไม่เปิดตาจนกระทั่งมีอายุได้ 3 สัปดาห์ และหย่านมเมื่ออายุได้ 2 เดือน อายุขัยโดยเฉลี่ยในธรรมชาติ สกั๊งค์มีอายุอยู่ได้ได้ระหว่าง 5-6 ปี แต่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานมากขึ้นอย่างมากหากอยู่ในที่เลี้ยง




3. ลิงลมเหนือ หรือ ลิงลมเบงกอล (อังกฤษ: Bengal slow loris, Northern slow loris; ชื่อวิทยาศาสตร์: Nycticebus bengalensis) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงลม (Lorisidae)
จัดเป็นลิงลมชนิดหนึ่ง ที่เป็นลิงลมที่พบได้ในประเทศไทยทั่วทุกภาค นอกจากลิงลมใต้ (N. coucang) ซึ่งลิงลมเหนือนับเป็นลิงลมที่เพิ่งมีการจำแนกออกเป็นชนิดใหม่
เป็นลิงลมที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักตัว 900-1,400 กรัม ความยาวลำตัวจากหัวและลำตัว 325-360 มิลลิเมตร ใบหูมองเห็นได้ชัดเจน โดยจะจมหายไปกับขนบนหัว สีขนมีความแตกต่างหากหลายกันไปตามสภาพพื้นที่ ตั้งแต่ สีเทาอมครีม, สีครีม, สีน้ำตาลอ่อน, สีส้มหม่น มีเส้นพาดกลางหลังสีน้ำตาลจรดหาง บนใบหน้าไม่ปรากฏเส้นพาดสีดำไปยังหูทั้ง 2 ข้าง และไปยังดวงตา 2 ข้าง เป็นลักษณะรูปคล้ายช้อนส้อม หรือถ้าปรากฏก็จะจาง ๆ ขนรอบดวงตาเป็นสีเข้ม ผิวหนังที่ขาทั้ง 4 ข้าง เป็นสีซีด
พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้จนถึงภูมิภาคอินโดจีน แต่ตามกฎหมายในประเทศไทย ยังไม่จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย





สัตว์ที่พบในทวีปยุโรป(ต่อ)
 
5. ซาลาแมนเดอร์ไฟ (อังกฤษ: Fire salamander; ชื่อวิทยาศาสตร์: Salamandra salamandra) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็กจำพวกซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่ง จัดเป็นนิวต์ (Salamandridae) หรือซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก
     ชื่อซาลาแมนเดอร์ไฟนั้น สันนิษฐานว่ามาจากการที่มนุษย์ในสมัยโบราณ จะใช้ฟืน ที่นำมาจากกิ่งไม้หรือโพรงไม้ต่าง ๆ โยนเข้ากองไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นยามหนาว บางครั้งจะพบซาลาแมนเดอร์ชนิดนี้่ซุกซ่อนอยู่ภายใน เมื่อฟืนถูกไฟ ด้วยความร้อนซาลาแมนเดอร์ก็จะคลานออกมา เหมือนกับว่าคลานออกมาจากกองไฟ อันเป็นที่มาของสัตว์ในตำนานที่ว่า เมื่อโยนซาลาแมนเดอร์เข้าไปในกองไฟแล้วก็ไม่ตาย เนื่องจากมีความชื้นในรูปแบบของเมือกที่ปกคลุมตัวอยู่ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ซาลาแมนเดอร์ไฟ นับเป็นซาลาแมนเดอร์ชนิดที่พบได้ง่ายกว่าซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ๆ ในทวีปยุโรป มีลำตัวสีดำมีจุดสีเหลืองหรือลายเส้นที่แตกต่างกันออกไป บางตัวอาจจะมีสีเกือบดำสนิทในขณะที่บางตัวมีแถบสีเหลืองสดตัดกันโดดเด่น และบางตัวก็มีสีออกไปทางเหลืองเฉดแดง หรือสีส้ม มีขนาดความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ในตัวที่โตเต็มวัย และมีอายุขัยที่ยาวนานถึง 50 ปี นับว่ายาวนานกว่าซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ๆ มาก


6.เซเบิล

ลักษณะ

เซเบิลจัดเป็นหมาไม้ชนิดหนึ่ง มีขนสีน้ำตาลเข้ม น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่อาจหนักได้ถึง 4 กิโลกรัม

แหล่งอาศัย

พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชียเหนือและเอเชียกลาง ตั้งแต่เทือกเขาอูราลไปจนถึงไซบีเรีย, ภาคเหนือของมองโกเลีย และจีน, บนเกาะฮอกไกโดของประเทศญี่ปุ่น ในอดีตเซเบิลเคยมีในพื้นที่รัสเซียยุโรป ไปจนถึงโปแลนด์และสแกนดิเนเวีย

ถื่นที่อยู่และอาหาร

เซเบิล จะอาศัยในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่น ป่าสนไทก้า ล่าสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ กินเป็นอาหาร เช่น กระรอก, หนู ในบางตัวที่มีขนาดใหญ่อาจล่า กระต่ายได้ด้วย

คุณประโยชน์

ขนของเซเบิลจะถูกล่าเพื่อทำเป็นเสื้อขนสัตว์ที่มีมูลค่าและราคาแพง ในอดีต ชาวพื้นเมืองไซบีเรียจะส่งขนเซเบิลเพื่อเป็นบรรณาการแก่จีนและมองโกล ต่อมาการมอบขนของเซเบิลให้กันกลายเป็นประเพณีหนึ่งในทางการทูต ซึ่งขนของเซเบิลจะมีราคาแพงกว่าหมาไม้ชนิดอื่น อีกทั้งขนหางยังใช้เป็นพู่กันที่มีคุณภาพดีอีกด้วย
ปัจจุบัน การล่าเซเบิลยังคงมีอยู่ โดยใช้ปืนไรเฟิลและสุนัขพันธุ์ล่าเหยื่อในการดมกลิ่นและไล่ล่า เช่น ไซบีเรียนฮัสกี้

 





วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

สัตว์ที่พบในทวีปยุโรป


1. กระต่ายยุโรป  ก็มีจุดเริ่มต้นเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ คือเริ่มจากมนุษย์จับกระต่ายยุโรปมาเลี้ยง แต่ระยะเวลาในการเริ่มต้นนำกระต่ายยุโรปมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ แล้วนับว่ามีอายุสั้นกว่ามาก ประวัติการเริ่มต้นนำกระต่ายยุโรปมาเลี้ยง พึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีมานี้ โดยเริ่มในยุคต้นของอาณาจักรโรมัน ประมาณ 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช (116-27 ก่อนคริสต์ศักราช) กระต่ายยุโรป ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบรอยต่อระหว่างทวีปแอฟริกาหนือและยุโรปตอนใต้ ได้ถูกจับมาเลี้ยงแบบจำกัดเขตตามสวนหรืออุทยานที่มีรั้วหรือกำแพงล้อมรอบแบบกึ่งเลี้ยงกึ่งกระต่ายป่า เพื่อเป็นเกมการล่าสัตว์ของกษัตริย์หรือขุนนาง และเพื่อใช้เป็นอาหารของพวกพระหรือนักบวชชาวโรมันในระหว่างถือบวชก่อน หลังจากนั้นการเลี้ยงกระต่ายก็ค่อย ๆ แพร่หลายไปเรื่อยและมีการพัฒนาขึ้น ทั้งวิธีการเลี้ยงและสายพันธุ์ จากจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงในยุโรปตอนใต้ (แถบสเปนและอิตาลีในปัจจุบัน) กระต่ายยุโรปก็ถูกนำไปเลี้ยงแพร่หลายทั่วยุโรป


2. วูล์ฟเวอร์รีน 

(ชื่อวิทยาศาสตร์: Gulo gulo)    เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ในสกุล Gulo (หมายถึง "จอมตะกละ") สัตว์ชนิดนี้มีอยู่ 2 ชนิดย่อย วูล์ฟเวอรีนที่อาศัยอยู่ในโลกเก่า (เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gulo gulo gulo แต่ชนิดย่อยในโลกใหม่ (ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้) ใช้ชื่อ G.g. luscus และยังมีชนิดพิเศษที่พบเฉพาะบนเกาะแวนคูเวอร์ของประเทศแคนาดาเท่านั้น คือชนิดย่อยแวนคูเวอร์ (G.g. vancouverensis) แต่มักถูกจัดให้รวมอยู่ในชนิดย่อยของโลกใหม่   นอกจากนี้ยังมีชื่อสามัญใช้เรียกอีก 2 ชื่อ ได้แก่ หมีกลัตต้อน (Glutton) และ คารักจู (Caracjou)   วูล์ฟเวอรีนพบในเขตหนาวของซีกโลกเหนือ ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือและเอเชีย


3. หมาจิ้งจอกแดง  (อังกฤษ: Red fox; ชื่อวิทยาศาสตร์: Vulpes vulpes) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ ซึ่งอยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับหมาทั่วไป แต่มีขนาดเล็กกว่า ขนตามลำตัว มีสีเทาแดงหรือสีน้ำตาลแดง บางตัวอาจมีสีน้ำตาลส้ม สีขนบริเวณปลายหูและขามีสีดำ สีขนอาจมีเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ กล่าวคือ สีขนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงในช่วงที่มีอากาศมีความชื้นสูง  มีความยาวลำตัวและหัว 49-65 เซนติเมตร ความยาวหาง 20-40 เซนติเมตร รกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีชนิดย่อย มากมายถึง 45 ชนิด พบทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปยุโรป, ตะวันออกกลาง, ปากีสถาน ภาคเหนือของอินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, ภาคเหนือของพม่า, จีน, ภาคเหนือของลาวและเวียดนาม
    หมาจิ้งจอกแดง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่หลากหลายได้ ป่าสนหรือป่าเบญจพรรณ, พื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทราย และพื้นที่เกษตรกรรม กินอาหารได้หลากหลายประเภทตั้งแต่สิ่งมีชีวิต เช่น หนู กระต่าย, นก, แมลง หรือแม้แต่หนอนชนิดต่าง ๆ ในบางครั้งอาจกินผักและผลไม้ด้วย เช่น กะหล่ำปลี โดยจะกินอาหารมากถึงวันละ 1 กิโลกรัมมักอาศัยและหากินอยู่เป็นคู่ หมาจิ้งจอกแดงที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียสามารถผสมพันธุ์ได้เกือบตลอดทั้งปี ใช้เวลาตั้งท้อง 49-55 วัน โดยที่ตัวพ่อและแม่จะช่วยกันเลี้ยงดูลูกในรังช่วง 3 เดือนแรก เมื่อลูกมีอายุครบปีแล้ว ก็จะแยกตัวออกไปสร้างครอบครัวของตัวเอง และจากการศึกษานานกว่า 40 ปี ของนักวิจัยพบว่า หมาจิ้งจอกแดงสามารถส่งเสียงร้องได้หลากหลายมากถึง 40 เสียง สำหรับการสื่อสารกันเอง, การหาคู่ หรือการสื่อสารกันเฉพาะในฝูงหรือครอบครัว



4.เฟอเรท (อังกฤษ: Ferret; ชื่อวิทยาศาสตร์: Mustela putorius furo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จำพวกวีเซล นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง
               เฟอเรทเป็นชนิดย่อยของโพลแคทยุโรป (M. putorius) ที่เป็นวีเซลหรือเพียงพอนที่พบได้ในทวีปยุโรป จากการตรวจสอบทางดีเอ็นเอพบว่าเฟอเรทนั้นถูกมนุษย์เลี้ยงกันมาถึง 2,500 ปีแล้ว โดยในประวัติศาสตร์ จะมีเฟอเรทปรากฏตามที่ต่าง ๆ อาทิ ปรากฏในภาพวาดของลีโอนาร์โด ดา วินชี หรือเป็นสัตว์เลี้ยงของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งจักรวรรดิอังกฤษ และยังเป็นสัตว์ที่ใช้ในการวางสายเคเบิลในการถ่ายทอดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ กับเลดี้ไดอาน่า ในปี ค.ศ. 1981 ด้วย[1]
เฟอเรท มีความยาวประมาณ 20 นิ้ว (51 เซนติเมตร) และความยาวหาง 5 นิ้ว (13 เซนติเมตร) น้ำหนักประมาณ 1.5–4 ปอนด์ (0.7–2 กิโลกรัม) อายุขัยโดยเฉลี่ย 7-10 ปี ตัวผู้นั้นจะมีความยาวมากกว่าตัวเมีย[2]
ในสหรัฐอเมริกา เฟอเรทถูกนำเข้ามาในฐานะของสัตว์ที่ฝึกไว้สำหรับล่ากระต่าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของเฟอเรท หรือวีเซลอยู่แล้ว ที่ล่าสัตว์ขนาดเล็กตามโพรงดิน เช่น หนู, กระต่าย เป็นอาหาร โดยการมุดเข้าไปลากออกมาถึงในโพรง
                เฟอเรท นับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีจำนวนชิ้นกระดูกสันหลังมากที่สุดในโลก โดยมีกระดูกที่ต้นคอถึง 7 ชิ้น และสะโพก 6 ชิ้น นั่นจึงทำให้เฟอเรทสามารถที่จะมุดหรือลอดไปตามโพรงหรือรูเรี้ยวต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น คล่องแคล่ว
                    เฟอเรท มีสีขนตามธรรมชาติ 2 สี คือ สีเข้ม ที่มีขนบริเวณใบหน้าสีขาวและมีแถบคาดดำพาดผ่านตา และสีขาวล้วน แต่ปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์ได้ออกเป็นสีต่าง ๆ ที่หลากหลายโดยเรียกเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ซิลเวอร์, ไลท์ซิลเวอร์, แพนด้า, ชินเนมอล, แฟนซี, อัลบิโน่ เป็นต้น





วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ"(ต่อ)

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ"(ต่อ)

1. แอลลิเกเตอร์ หรือ จระเข้ตีนเป็ด (อังกฤษ: Alligator; เรียกสั้น ๆ ว่า เกเตอร์: Gator) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodilia) ในวงศ์ Alligatoridae ใช้ชื่อสกุลว่า Alligator
แอลลิเกเตอร์เป็นจระเข้ที่อยู่ในวงศ์ Alligatoridae ซึ่งแยกมาจากจระเข้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่จะอยู่ในวงศ์ Crocodylidae ซึ่งแยกออกมาจากกันราว 200 ล้านปีก่อน ในมหายุคมีโซโซอิก และไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง แอลลิเกเตอร์จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง [1][2]
แอลลิเกเตอร์ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์ Crocodylidae หรือจระเข้ทั่วไป คือ เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นจะงอยปากสั้นและเป็นรูปตัวยู รูจมูกมีขนาดใหญ่ และเมื่อหุบปากแล้วฟันล่างจะไม่โผล่ออกมาให้เห็น เพราะมีส่วปลายของหัวแผ่กว้างและขากรรไกรยาว ส่วนปลายของขากรรไกรล่างซ้ายและขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกแอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ห่างจากแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลาเป็นช่องกว้าง กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ่นมีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้น[3]
ปัจจุบัน แอลลิเกเตอร์ มีอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (Alligator mississippiensis) ซึ่งถือเป็นสัตว์จำพวกจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ที่พบในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว[4]
ซึ่งคำว่า แอลลิเกเตอร์นั้น มาจากภาษาสเปนคำว่า "Lagarto" หมายถึง "สัตว์เลื้อยคลาน
 
 

2. แรคคูน (อังกฤษ: Raccoon, Common raccoon) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Procyon lotor อยู่ในวงศ์แรคคูน (Procyonidae)
มีความยาวลำตัวราว 2 ฟุต มีหางเป็นพวงมีแถบสีดำคาดเป็นปล้อง ๆ ยาวราว 10 นิ้ว ขนตามลำตัวสีน้ำตาลปนเทา ใบหน้าสีขาวมีแถบสีดำคาดจากตาไปเป็นแถบตลอดแก้ม แลดูคล้ายเหมือนโจรสวมหน้ากาก
เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ไปทั่วในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกากลางในหลายพื้นที่ ทั้งในป่า หรือแม้แต่ชุมชนของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี กินอาหารได้หลากหลายประเภททั้งเนื้อสัตว์และพืช อีกทั้งยังชอบที่จะอยู่ใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการจับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร เช่น กบ, ปลา, กุ้ง และปู หรือเต่าขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมทั้งนกหรือแมลงปีกแข็งขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ด้วย แต่ไม่สามารถที่จะว่ายน้ำได้ จะใช้วิธีการจับในน้ำตื้น ๆ ที่ขาหยั่งถึงแทน ในช่วงฤดูแล้งที่อาหารขนาดแคลนก็จะกินลูกไม้, ผลไม้ และดอกข้าวโพด เป็นอาหาร หรืออาจจะบุกเข้าไปในบ้านเรือนของมนุษย์ ขุดคุ้ยหาขยะหรือเศษอาหาร หรือแม้กระทั่งเปิดตู้เย็นหากิน
แรคคูน เป็นสัตว์ที่ใช้เท้าหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนมือสำหรับหยิบจับอาหาร ซึ่งสามารถกระทำได้ถึงขนาดคลายปมเชือก และยังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมพิเศษ คือ ก่อนจะกินอาหาร มักจะนำไปล้างน้ำเสียก่อน จนมีความเชื่อว่าเป็นสัตว์รักสะอาด แต่ความจริงแล้ว เป็นพฤติกรรมที่จะนวดอาหารให้นิ่มซะก่อน ก่อนที่จะกิน
แรคคูน เป็นสัตว์ที่ปีนต้นไม้เก่ง ทำรังอยู่บนยอดไม้และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ ในเวลากลางวันจะนอนขดอยู่ตามพงไม้ หรือซอกหิน หรือนอนผึ่งแดดอยู่ในรัง ในตอนกลางคืนจะออกหากิน โดยใช้เส้นทางเดิม และมักจะใช้เส้นทางที่เป็นพื้นแข็ง เพื่อไม่ให้เกิดรอยเท้า
ตัวเมียออกลูกครั้งละ 4-6 ตัว ในโพรงไม้ ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกและอาหารขาดแคลน แรคคูนจะใช้เวลาช่วงนี้ในการจำศีลตลอดฤดูกาล
แรคคูน เป็นสัตว์ที่มีความน่ารัก จึงมีผู้นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง อีกทั้งขนและหนังมีความหนานุ่มและสีสวย จึงมีการล่าเพื่อทำเป็นเสื้อขนสัตว์ด้วย
 
 
 
3. อินทรีหัวขาว หรือ อินทรีหัวล้าน (อังกฤษ: White-Head Eagle, Bald Eagle, American Eagle) เป็นนก3อินทรีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Haliaeetus leucocephalus
เป็นนกขนาดใหญ่ มีจุดเด่น คือ ขนส่วนหัวจนถึงลำคอเป็นสีขาว ตัดกับสีขนลำตัวและปีกซึ่งเป็นสีดำ และปลายหางสีขาว ขณะที่กรงเล็บ รวมทั้งจะงอยปากเป็นสีเหลือง
มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 70-102 เซนติเมตร (28-40 นิ้ว) ความยาวปีกเมื่อกางปีก 1.8-2.3 เมตร (5.9-7.5 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 2.5 ถึง 7 กิโลกรัม (9-12 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ประมาณร้อยละ 25 สามารถบินได้เร็วประมาณ 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีสายตาที่สามารถมองได้ไกลประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กิโลเมตร)
จัดเป็นนกที่มีความสวยงามและสง่างามมากชนิดหนึ่ง มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือตลอดไปจนถึงเม็กซิโกตอนเหนือ และทะเลแคริบเบียน มักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือชายทะเล เพราะกินปลาเป็นอาหารหลัก
มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 25-30 ปี ในขณะที่ยังเป็นนกวัยอ่อนจนถึง 5 ขวบ ขนบริเวณหัวและปลายหางจะยังเป็นสีน้ำตาล ไม่เปลี่ยนไปเป็นสีขาว
นกอินทรีหัวขาวถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปรากฏในตราประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอีกหลายหน่วยงานราชการในประเทศ



 
 
 
 
 
4. อีกัวนาแรด หรือ ไรโน อีกัวนา (อังกฤษ: Rhinoceros iguana, Horned ground iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกอีกัวนา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclura cornuta อยู่ในวงศ์ Iguanidae
มีจุดเด่นอยู่ที่ตรงหัวขนาดใหญ่ที่มีเขาที่ดั้งจมูกเหมือนกับนอแรดอันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีลำตัวที่มีขนาดใหญ่ หนา บึกบึน ลำตัวมีสีน้ำตาล หรือสีเขียวมะกอกหรือสีดำ ขณะที่บางตัวมีส่วนหางสีฟ้า ในตอนเล็กจะมีสีเทาอมฟ้าแซมตลอดทั้งตัว ในตัวผู้จะมีสีสันบริเวณกล้ามเนื้อที่หลังคอหนามาก และมีกล้ามเนื้อบริเวณกรามที่ใหญ่มากจนปูดออกมาบริเวณหัวอย่างชัดเจน ภายในปากเป็นสีม่วงดำสำหรับใช้ขู่ โดยการขู่จะใช้วิธีอ้าปากขู่และงับกรามลงแรง ๆ
จัดเป็นอีกัวนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Cyclura ด้วยมีความยาวที่สุดได้ถึง 1.5 เมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อยู่ที่ ๆ แห้งแล้ง แถบเกาะฮิสปันโยลา, หมู่เกาะแคริเบียน, สาธารณรัฐเฮติ และโดมินิกา
มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ชนิดย่อย ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วหนึ่งชนิด และอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งหนึ่งชนิด เป็นอีกัวนาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็ก หรือ ไข่นก เป็นอาหารได้ แต่จะกินพืชเป็นหลัก
เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นที่นิยมเลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ แต่ว่าเป็นอีก้วนาที่มีนิสัยก้าวร้าว ไม่ค่อยจะเชื่องและอาจกัดทำร้ายผู้เลี้ยงได้ โดยขณะที่สถานะการอนุรักษ์ในธรรมชาติ อีกัวนาแรด มีศัตรูตามธรรมชาติ คือ พังพอน, สุนัข, แมว และก็หนู ที่จะทำลายและกัดกินไข่และรัง แต่ปัจจุบันได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายที่เข้มงวด และการได้รับการเอาใจใส่จากผู้คนในท้องถิ่น ประกอบกับการสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว ทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น





 

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้"

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้"


                   1.นากยักษ์    (อังกฤษ: Giant otter; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pteronura brasiliensis) เป็นนากชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pteronura แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
จัดอยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) เป็นนากที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 1.5-1.7 เมตร และน้ำหนักกว่า 26-32 กิโลกรัม ในตัวผู้ ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย มีขนสีน้ำตาลเข้ม โดยมีขนที่สั้นกว่านากชนิดอื่น ๆ ใต้ท้องตั้งแต่ช่วงคอและหน้าอกมีขนสีขาวขึ้นแซม ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามแต่ตัว อันเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว
นากยักษ์ กระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในป่าดิบชื้นทวีปอเมริกาใต้ เช่น ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และพื้นที่ชุ่มน้ำแพนทาแนล
                       มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ, แม่ และลูก ซึ่งแม่นากจะสอนลูกว่ายน้ำและหากิน หากินโดยกินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น ปูหรือกุ้ง เป็นอาหาร โดยแต่ละฝูงจะมีอาณาบริเวณหากินที่ชัดเจน และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่นากยักษ์ก็ยังตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยเฉพาะนากวัยอ่อน เช่น จระเข้เคย์แมน, เสือจากัวร์ หรืองูอนาคอนดา
                     ค.ศ. 1950-ค.ศ. 1960 มีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว และตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ในปี ค.ศ. 1999 มีจำนวนประชากรประมาณ 5,000 ตัวในป่าของกายอานา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่อยู่แหล่งสุดท้ายในธรรมชาติ ถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์ในภูมิภาคเขตร้อน โดยถูกคุกคามถิ่นอยู่อาศัย และในสถานที่เลี้ยง นากนยักษ์ก็เป็นสัตว์ที่เลี้ยงให้รอดได้ยาก โดยในปี ค.ศ. 2003 มีจำนวนประชากรในสถานที่เลี้ยงโดยมนุษย์เพียงแค่ 60 ตัวเท่านั้น[3][4][5]
นากยักษ์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ โดยระหว่าง
 
 
 
2. โลมาแม่น้ำแอมะซอน หรือ โลมาสีชมพู (อังกฤษ: Amazon river dolphin, Pink dolphin; โปรตุเกส: Boto, Boutu[2]; ชื่อวิทยาศาสตร์: Inia geoffrensis; ออกเสียง: /อิ-เนีย-จี-โอฟ-เฟรน-สิส/[3]) เป็นโลมาแม่น้ำชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุล Inia และวงศ์ Iniidae
โลมาแม่น้ำแอมะซอน จัดเป็นโลมาแม่น้ำ หรือโลมาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดแท้ ๆ โดยที่ไม่พบในทะเล มีความยาวประมาณ 1.53-2.4 เมตร (5.0-7.9 ฟุต) ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวที่ใหญ่ที่สุด เป็นตัวเมียที่มีความยาวถึง 2.5 เมตร (8.2 ฟุต) และน้ำหนักตัว 98.5 กิโลกรัม (217 ปอนด์) ขณะที่ตัวผู้ที่ใหญ่ที่สุด ยาว 2.0 เมตร (6.6 ฟุต) และน้ำหนักตัว 94 กิโลกรัม (210 ปอนด์) นอกจากนี้แล้วกระดูกสันหลังบริเวณคอมีความยืดหยุ่นจึงสามารถทำให้หันหัวได้ 180 องศา ซึ่งความยืดหยุ่นตรงนี้เองที่ทำให้เป็นสิ่งสำคัญในการว่ายน้ำผ่านต้นไม้ต่าง ๆ และวัสดุกีดขวางต่าง ๆ ในป่าน้ำท่วม
 
 
 
 
               3. บุชด็อก (อังกฤษ: Bush dog, Savannah dog[1]; ชื่อวิทยาศาสตร์: Speothos venaticus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวของสกุล Speothos ที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน[3]
บุชด็อก แม้จะอยู่วงศ์เดียวกับหมาป่าหรือสุนัขบ้าน แต่กลับมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนากหรือพังพอนมากกว่าจะเป็นสุนัข เนื่องจากลำตัวยาว ขาสั้น ขนสั้น หางสั้น ใบหูกลมสั้น ที่อุ้งตีนมีพังผืด จึงทำให้มีความสามารถว่ายน้ำได้ดี และดำน้ำได้เก่งมาก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ยาวประมาณ 55–75 เซนติเมตร (22–30 นิ้ว) และความยาวหาง 13 เซนติเมตร (5 นิ้ว) มีความสูงจากตีนถึงหัวไหล่ 20–30 เซนติเมตร (8–12 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 5–8 กิโลกรัม (11–18 ปอนด์) และมีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า Upper: 3.1.4.1, lower: 3.1.4.2 มีฟันทั้งหมด 38 ซี่[4]
                   บุชด็อก ถือเป็นสุนัขชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง โดยใช้ชีวิตในป่าดิบชื้น โดยเฉพาะที่ใกล้กับแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งหากินหลัก พบได้ตั้งแต่ที่ราบลุ่มจนถึงที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร (6,200 ฟุต) จนถึงที่ราบเซอราโดอันเป็นทุ่งหญ้ากว้างไกลในบราซิลด้วย[1] โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
นิสัยตามธรรมชาติของบุชด็อก เป็นสัตว์ที่ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ล่าสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร รวมถึงอาร์มาดิลโล ที่มีเกราะหุ้มตัวด้วย



 

4. พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ หรือ แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่เล็ก (อังกฤษ: Pink fairy armadillo, Lesser fairy armadillo; ชื่อวิทยาศาสตร์: Chlamyphorus truncatus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกอาร์มาดิลโล่ชนิดหนึ่ง นับเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chalamyphorus[2]
จัดเป็นอาร์มาดิลโล่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีรูปร่างลักษณะประหลาด คือ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ขณะที่ส่วนท้ายลำตัวมีแผ่นปิดอยู่เป็นแผงขนยาว ส่วนหางสั้น มีเกราะหุ้มตัวเฉพาะแค่ด้านหลัง ขณะที่ด้านข้างและด้านล่างลำตัวเป็นขนอ่อนนุ่มสีชมพู มีกรงเล็บหน้าที่แหลมคม โดยเฉพาะตีนหน้า
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีความยาวแค่ 4-6 นิ้วเท่านั้น อาศัยอยู่เฉพาะแถบตะวันตกของประเทศอาร์เจนตินา เช่น จังหวัดเมนโดซา เท่านั้น โดยอาศัยในพื้นที่ ๆ แห้งแล้งแบบทะเลทรายเท่านั้น พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "Pichi ciego" (/พิ-ชี่-ซิ-โก้/) เป็นสัตว์ที่ออกหากินเฉพาะในเวลากลางคืน โดยกินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ด้วย เช่น ซากวัว ในบางครั้งจะขุดโพรงใต้ดินอยู่ใต้พื้นที่ซากสัตว์นั้นตาย เพื่อง่ายต่อการกินหนอนหรือแมลงที่มาตอมซาก
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิโล่ เป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะพบเห็นตัวได้ง่าย และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีข้อมูลน้อยมาก ชาวพื้นเมืองของอาร์เจนตินากล่าวว่า จะพบเห็นได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในแต่ละปี โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตก ซึ่งพื้นที่ ๆ ที่มันอยู่อาศัยนั้นมีปริมาณฝนตกต่อปีน้อยกว่า 200 มิลลิเมตรเสียด้วยซ้ำ พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่จะโผล่ออกมาจากโพรงหลังฝนตก เป็นเพราะน้ำท่วมโพรง และออกมาหาแมลงกินอีกประการหนึ่ง โดยปกติแล้ว พวกมันจะอาศัยและเดินทางในโพรงใต้ดินด้วยการขุดโพรงไปเรื่อย ๆ เหมือนตุ่นสีทองในทวีปแอฟริกา หรือตุ่นมาร์ซูเปียล ที่เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในทะเลทรายของออสเตรเลียตะวันตก[






5. เพนกวินฮัมโบลด์ หรือ เพนกวินเปรูเวียน หรือ แพทรานกา (อังกฤษ: Humboldt penguin, Peruvian penguin, Patranca) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spheniscus humboldti
จัดเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่มีจุดเด่นคือ มีสีดำคาดที่หน้าอก บริเวณใต้คอและรอบดวงตาสีขาว จะงอยปากเป็นเนื้อสีชมพู
พบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปอเมริกาใต้ ออกลูกเป็นไข่ครั้งละ 2 ฟอง อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและโขดหินริมทะเล โดยตัวผู้เป็นฝ่ายกกไข่ ทำรังด้วยการขุดโพรงตามพุ่มไม้หรือป่าละเมาะริมทะเล สร้างรังด้วยก้อนหิน กิ่งไม้หรือใบไม้ เป็นสัตว์สังคมอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงร้อง [2]
เพนกวินชนิดนี้นิยมเลี้ยงกันตามสวนสัตว์ ในประเทศไทย มีการเลี้ยงที่สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์สงขลา และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นต้น