"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้"
1.นากยักษ์ (อังกฤษ: Giant otter; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pteronura brasiliensis) เป็นนากชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pteronura แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
จัดอยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) เป็นนากที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 1.5-1.7 เมตร และน้ำหนักกว่า 26-32 กิโลกรัม ในตัวผู้ ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย มีขนสีน้ำตาลเข้ม โดยมีขนที่สั้นกว่านากชนิดอื่น ๆ ใต้ท้องตั้งแต่ช่วงคอและหน้าอกมีขนสีขาวขึ้นแซม ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามแต่ตัว อันเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว
นากยักษ์ กระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในป่าดิบชื้นทวีปอเมริกาใต้ เช่น ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และพื้นที่ชุ่มน้ำแพนทาแนล
มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ, แม่ และลูก ซึ่งแม่นากจะสอนลูกว่ายน้ำและหากิน หากินโดยกินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น ปูหรือกุ้ง เป็นอาหาร โดยแต่ละฝูงจะมีอาณาบริเวณหากินที่ชัดเจน และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่นากยักษ์ก็ยังตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยเฉพาะนากวัยอ่อน เช่น จระเข้เคย์แมน, เสือจากัวร์ หรืองูอนาคอนดา
ค.ศ. 1950-ค.ศ. 1960 มีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว และตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ในปี ค.ศ. 1999 มีจำนวนประชากรประมาณ 5,000 ตัวในป่าของกายอานา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่อยู่แหล่งสุดท้ายในธรรมชาติ ถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์ในภูมิภาคเขตร้อน โดยถูกคุกคามถิ่นอยู่อาศัย และในสถานที่เลี้ยง นากนยักษ์ก็เป็นสัตว์ที่เลี้ยงให้รอดได้ยาก โดยในปี ค.ศ. 2003 มีจำนวนประชากรในสถานที่เลี้ยงโดยมนุษย์เพียงแค่ 60 ตัวเท่านั้น[3][4][5]
นากยักษ์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ โดยระหว่าง
โลมาแม่น้ำแอมะซอน จัดเป็นโลมาแม่น้ำ หรือโลมาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดแท้ ๆ โดยที่ไม่พบในทะเล มีความยาวประมาณ 1.53-2.4 เมตร (5.0-7.9 ฟุต) ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวที่ใหญ่ที่สุด เป็นตัวเมียที่มีความยาวถึง 2.5 เมตร (8.2 ฟุต) และน้ำหนักตัว 98.5 กิโลกรัม (217 ปอนด์) ขณะที่ตัวผู้ที่ใหญ่ที่สุด ยาว 2.0 เมตร (6.6 ฟุต) และน้ำหนักตัว 94 กิโลกรัม (210 ปอนด์) นอกจากนี้แล้วกระดูกสันหลังบริเวณคอมีความยืดหยุ่นจึงสามารถทำให้หันหัวได้ 180 องศา ซึ่งความยืดหยุ่นตรงนี้เองที่ทำให้เป็นสิ่งสำคัญในการว่ายน้ำผ่านต้นไม้ต่าง ๆ และวัสดุกีดขวางต่าง ๆ ในป่าน้ำท่วม
บุชด็อก แม้จะอยู่วงศ์เดียวกับหมาป่าหรือสุนัขบ้าน แต่กลับมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนากหรือพังพอนมากกว่าจะเป็นสุนัข เนื่องจากลำตัวยาว ขาสั้น ขนสั้น หางสั้น ใบหูกลมสั้น ที่อุ้งตีนมีพังผืด จึงทำให้มีความสามารถว่ายน้ำได้ดี และดำน้ำได้เก่งมาก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ยาวประมาณ 55–75 เซนติเมตร (22–30 นิ้ว) และความยาวหาง 13 เซนติเมตร (5 นิ้ว) มีความสูงจากตีนถึงหัวไหล่ 20–30 เซนติเมตร (8–12 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 5–8 กิโลกรัม (11–18 ปอนด์) และมีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า

บุชด็อก ถือเป็นสุนัขชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง โดยใช้ชีวิตในป่าดิบชื้น โดยเฉพาะที่ใกล้กับแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งหากินหลัก พบได้ตั้งแต่ที่ราบลุ่มจนถึงที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร (6,200 ฟุต) จนถึงที่ราบเซอราโดอันเป็นทุ่งหญ้ากว้างไกลในบราซิลด้วย[1] โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
นิสัยตามธรรมชาติของบุชด็อก เป็นสัตว์ที่ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ล่าสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร รวมถึงอาร์มาดิลโล ที่มีเกราะหุ้มตัวด้วย
4. พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ หรือ แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่เล็ก (อังกฤษ: Pink fairy armadillo, Lesser fairy armadillo; ชื่อวิทยาศาสตร์: Chlamyphorus truncatus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกอาร์มาดิลโล่ชนิดหนึ่ง นับเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chalamyphorus[2]
จัดเป็นอาร์มาดิลโล่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีรูปร่างลักษณะประหลาด คือ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ขณะที่ส่วนท้ายลำตัวมีแผ่นปิดอยู่เป็นแผงขนยาว ส่วนหางสั้น มีเกราะหุ้มตัวเฉพาะแค่ด้านหลัง ขณะที่ด้านข้างและด้านล่างลำตัวเป็นขนอ่อนนุ่มสีชมพู มีกรงเล็บหน้าที่แหลมคม โดยเฉพาะตีนหน้า
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีความยาวแค่ 4-6 นิ้วเท่านั้น อาศัยอยู่เฉพาะแถบตะวันตกของประเทศอาร์เจนตินา เช่น จังหวัดเมนโดซา เท่านั้น โดยอาศัยในพื้นที่ ๆ แห้งแล้งแบบทะเลทรายเท่านั้น พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "Pichi ciego" (/พิ-ชี่-ซิ-โก้/) เป็นสัตว์ที่ออกหากินเฉพาะในเวลากลางคืน โดยกินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ด้วย เช่น ซากวัว ในบางครั้งจะขุดโพรงใต้ดินอยู่ใต้พื้นที่ซากสัตว์นั้นตาย เพื่อง่ายต่อการกินหนอนหรือแมลงที่มาตอมซาก
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิโล่ เป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะพบเห็นตัวได้ง่าย และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีข้อมูลน้อยมาก ชาวพื้นเมืองของอาร์เจนตินากล่าวว่า จะพบเห็นได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในแต่ละปี โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตก ซึ่งพื้นที่ ๆ ที่มันอยู่อาศัยนั้นมีปริมาณฝนตกต่อปีน้อยกว่า 200 มิลลิเมตรเสียด้วยซ้ำ พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่จะโผล่ออกมาจากโพรงหลังฝนตก เป็นเพราะน้ำท่วมโพรง และออกมาหาแมลงกินอีกประการหนึ่ง โดยปกติแล้ว พวกมันจะอาศัยและเดินทางในโพรงใต้ดินด้วยการขุดโพรงไปเรื่อย ๆ เหมือนตุ่นสีทองในทวีปแอฟริกา หรือตุ่นมาร์ซูเปียล ที่เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในทะเลทรายของออสเตรเลียตะวันตก[
5. เพนกวินฮัมโบลด์ หรือ เพนกวินเปรูเวียน หรือ แพทรานกา (อังกฤษ: Humboldt penguin, Peruvian penguin, Patranca) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spheniscus humboldti
จัดเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่มีจุดเด่นคือ มีสีดำคาดที่หน้าอก บริเวณใต้คอและรอบดวงตาสีขาว จะงอยปากเป็นเนื้อสีชมพู
พบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปอเมริกาใต้ ออกลูกเป็นไข่ครั้งละ 2 ฟอง อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและโขดหินริมทะเล โดยตัวผู้เป็นฝ่ายกกไข่ ทำรังด้วยการขุดโพรงตามพุ่มไม้หรือป่าละเมาะริมทะเล สร้างรังด้วยก้อนหิน กิ่งไม้หรือใบไม้ เป็นสัตว์สังคมอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงร้อง [2]
เพนกวินชนิดนี้นิยมเลี้ยงกันตามสวนสัตว์ ในประเทศไทย มีการเลี้ยงที่สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์สงขลา และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น