วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ"(ต่อ)

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ"(ต่อ)

1. แอลลิเกเตอร์ หรือ จระเข้ตีนเป็ด (อังกฤษ: Alligator; เรียกสั้น ๆ ว่า เกเตอร์: Gator) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodilia) ในวงศ์ Alligatoridae ใช้ชื่อสกุลว่า Alligator
แอลลิเกเตอร์เป็นจระเข้ที่อยู่ในวงศ์ Alligatoridae ซึ่งแยกมาจากจระเข้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่จะอยู่ในวงศ์ Crocodylidae ซึ่งแยกออกมาจากกันราว 200 ล้านปีก่อน ในมหายุคมีโซโซอิก และไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง แอลลิเกเตอร์จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง [1][2]
แอลลิเกเตอร์ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์ Crocodylidae หรือจระเข้ทั่วไป คือ เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นจะงอยปากสั้นและเป็นรูปตัวยู รูจมูกมีขนาดใหญ่ และเมื่อหุบปากแล้วฟันล่างจะไม่โผล่ออกมาให้เห็น เพราะมีส่วปลายของหัวแผ่กว้างและขากรรไกรยาว ส่วนปลายของขากรรไกรล่างซ้ายและขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกแอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ห่างจากแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลาเป็นช่องกว้าง กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ่นมีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้น[3]
ปัจจุบัน แอลลิเกเตอร์ มีอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (Alligator mississippiensis) ซึ่งถือเป็นสัตว์จำพวกจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ที่พบในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว[4]
ซึ่งคำว่า แอลลิเกเตอร์นั้น มาจากภาษาสเปนคำว่า "Lagarto" หมายถึง "สัตว์เลื้อยคลาน
 
 

2. แรคคูน (อังกฤษ: Raccoon, Common raccoon) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Procyon lotor อยู่ในวงศ์แรคคูน (Procyonidae)
มีความยาวลำตัวราว 2 ฟุต มีหางเป็นพวงมีแถบสีดำคาดเป็นปล้อง ๆ ยาวราว 10 นิ้ว ขนตามลำตัวสีน้ำตาลปนเทา ใบหน้าสีขาวมีแถบสีดำคาดจากตาไปเป็นแถบตลอดแก้ม แลดูคล้ายเหมือนโจรสวมหน้ากาก
เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ไปทั่วในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกากลางในหลายพื้นที่ ทั้งในป่า หรือแม้แต่ชุมชนของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี กินอาหารได้หลากหลายประเภททั้งเนื้อสัตว์และพืช อีกทั้งยังชอบที่จะอยู่ใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการจับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร เช่น กบ, ปลา, กุ้ง และปู หรือเต่าขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมทั้งนกหรือแมลงปีกแข็งขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ด้วย แต่ไม่สามารถที่จะว่ายน้ำได้ จะใช้วิธีการจับในน้ำตื้น ๆ ที่ขาหยั่งถึงแทน ในช่วงฤดูแล้งที่อาหารขนาดแคลนก็จะกินลูกไม้, ผลไม้ และดอกข้าวโพด เป็นอาหาร หรืออาจจะบุกเข้าไปในบ้านเรือนของมนุษย์ ขุดคุ้ยหาขยะหรือเศษอาหาร หรือแม้กระทั่งเปิดตู้เย็นหากิน
แรคคูน เป็นสัตว์ที่ใช้เท้าหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนมือสำหรับหยิบจับอาหาร ซึ่งสามารถกระทำได้ถึงขนาดคลายปมเชือก และยังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมพิเศษ คือ ก่อนจะกินอาหาร มักจะนำไปล้างน้ำเสียก่อน จนมีความเชื่อว่าเป็นสัตว์รักสะอาด แต่ความจริงแล้ว เป็นพฤติกรรมที่จะนวดอาหารให้นิ่มซะก่อน ก่อนที่จะกิน
แรคคูน เป็นสัตว์ที่ปีนต้นไม้เก่ง ทำรังอยู่บนยอดไม้และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ ในเวลากลางวันจะนอนขดอยู่ตามพงไม้ หรือซอกหิน หรือนอนผึ่งแดดอยู่ในรัง ในตอนกลางคืนจะออกหากิน โดยใช้เส้นทางเดิม และมักจะใช้เส้นทางที่เป็นพื้นแข็ง เพื่อไม่ให้เกิดรอยเท้า
ตัวเมียออกลูกครั้งละ 4-6 ตัว ในโพรงไม้ ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกและอาหารขาดแคลน แรคคูนจะใช้เวลาช่วงนี้ในการจำศีลตลอดฤดูกาล
แรคคูน เป็นสัตว์ที่มีความน่ารัก จึงมีผู้นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง อีกทั้งขนและหนังมีความหนานุ่มและสีสวย จึงมีการล่าเพื่อทำเป็นเสื้อขนสัตว์ด้วย
 
 
 
3. อินทรีหัวขาว หรือ อินทรีหัวล้าน (อังกฤษ: White-Head Eagle, Bald Eagle, American Eagle) เป็นนก3อินทรีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Haliaeetus leucocephalus
เป็นนกขนาดใหญ่ มีจุดเด่น คือ ขนส่วนหัวจนถึงลำคอเป็นสีขาว ตัดกับสีขนลำตัวและปีกซึ่งเป็นสีดำ และปลายหางสีขาว ขณะที่กรงเล็บ รวมทั้งจะงอยปากเป็นสีเหลือง
มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 70-102 เซนติเมตร (28-40 นิ้ว) ความยาวปีกเมื่อกางปีก 1.8-2.3 เมตร (5.9-7.5 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 2.5 ถึง 7 กิโลกรัม (9-12 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ประมาณร้อยละ 25 สามารถบินได้เร็วประมาณ 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีสายตาที่สามารถมองได้ไกลประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กิโลเมตร)
จัดเป็นนกที่มีความสวยงามและสง่างามมากชนิดหนึ่ง มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือตลอดไปจนถึงเม็กซิโกตอนเหนือ และทะเลแคริบเบียน มักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือชายทะเล เพราะกินปลาเป็นอาหารหลัก
มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 25-30 ปี ในขณะที่ยังเป็นนกวัยอ่อนจนถึง 5 ขวบ ขนบริเวณหัวและปลายหางจะยังเป็นสีน้ำตาล ไม่เปลี่ยนไปเป็นสีขาว
นกอินทรีหัวขาวถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปรากฏในตราประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอีกหลายหน่วยงานราชการในประเทศ



 
 
 
 
 
4. อีกัวนาแรด หรือ ไรโน อีกัวนา (อังกฤษ: Rhinoceros iguana, Horned ground iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกอีกัวนา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclura cornuta อยู่ในวงศ์ Iguanidae
มีจุดเด่นอยู่ที่ตรงหัวขนาดใหญ่ที่มีเขาที่ดั้งจมูกเหมือนกับนอแรดอันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีลำตัวที่มีขนาดใหญ่ หนา บึกบึน ลำตัวมีสีน้ำตาล หรือสีเขียวมะกอกหรือสีดำ ขณะที่บางตัวมีส่วนหางสีฟ้า ในตอนเล็กจะมีสีเทาอมฟ้าแซมตลอดทั้งตัว ในตัวผู้จะมีสีสันบริเวณกล้ามเนื้อที่หลังคอหนามาก และมีกล้ามเนื้อบริเวณกรามที่ใหญ่มากจนปูดออกมาบริเวณหัวอย่างชัดเจน ภายในปากเป็นสีม่วงดำสำหรับใช้ขู่ โดยการขู่จะใช้วิธีอ้าปากขู่และงับกรามลงแรง ๆ
จัดเป็นอีกัวนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Cyclura ด้วยมีความยาวที่สุดได้ถึง 1.5 เมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อยู่ที่ ๆ แห้งแล้ง แถบเกาะฮิสปันโยลา, หมู่เกาะแคริเบียน, สาธารณรัฐเฮติ และโดมินิกา
มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ชนิดย่อย ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วหนึ่งชนิด และอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งหนึ่งชนิด เป็นอีกัวนาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็ก หรือ ไข่นก เป็นอาหารได้ แต่จะกินพืชเป็นหลัก
เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นที่นิยมเลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ แต่ว่าเป็นอีก้วนาที่มีนิสัยก้าวร้าว ไม่ค่อยจะเชื่องและอาจกัดทำร้ายผู้เลี้ยงได้ โดยขณะที่สถานะการอนุรักษ์ในธรรมชาติ อีกัวนาแรด มีศัตรูตามธรรมชาติ คือ พังพอน, สุนัข, แมว และก็หนู ที่จะทำลายและกัดกินไข่และรัง แต่ปัจจุบันได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายที่เข้มงวด และการได้รับการเอาใจใส่จากผู้คนในท้องถิ่น ประกอบกับการสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว ทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น





 

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้"

"สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้"


                   1.นากยักษ์    (อังกฤษ: Giant otter; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pteronura brasiliensis) เป็นนากชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pteronura แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
จัดอยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) เป็นนากที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 1.5-1.7 เมตร และน้ำหนักกว่า 26-32 กิโลกรัม ในตัวผู้ ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย มีขนสีน้ำตาลเข้ม โดยมีขนที่สั้นกว่านากชนิดอื่น ๆ ใต้ท้องตั้งแต่ช่วงคอและหน้าอกมีขนสีขาวขึ้นแซม ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามแต่ตัว อันเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว
นากยักษ์ กระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในป่าดิบชื้นทวีปอเมริกาใต้ เช่น ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และพื้นที่ชุ่มน้ำแพนทาแนล
                       มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ, แม่ และลูก ซึ่งแม่นากจะสอนลูกว่ายน้ำและหากิน หากินโดยกินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น ปูหรือกุ้ง เป็นอาหาร โดยแต่ละฝูงจะมีอาณาบริเวณหากินที่ชัดเจน และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แต่นากยักษ์ก็ยังตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยเฉพาะนากวัยอ่อน เช่น จระเข้เคย์แมน, เสือจากัวร์ หรืองูอนาคอนดา
                     ค.ศ. 1950-ค.ศ. 1960 มีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว และตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ในปี ค.ศ. 1999 มีจำนวนประชากรประมาณ 5,000 ตัวในป่าของกายอานา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่อยู่แหล่งสุดท้ายในธรรมชาติ ถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์ในภูมิภาคเขตร้อน โดยถูกคุกคามถิ่นอยู่อาศัย และในสถานที่เลี้ยง นากนยักษ์ก็เป็นสัตว์ที่เลี้ยงให้รอดได้ยาก โดยในปี ค.ศ. 2003 มีจำนวนประชากรในสถานที่เลี้ยงโดยมนุษย์เพียงแค่ 60 ตัวเท่านั้น[3][4][5]
นากยักษ์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ โดยระหว่าง
 
 
 
2. โลมาแม่น้ำแอมะซอน หรือ โลมาสีชมพู (อังกฤษ: Amazon river dolphin, Pink dolphin; โปรตุเกส: Boto, Boutu[2]; ชื่อวิทยาศาสตร์: Inia geoffrensis; ออกเสียง: /อิ-เนีย-จี-โอฟ-เฟรน-สิส/[3]) เป็นโลมาแม่น้ำชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุล Inia และวงศ์ Iniidae
โลมาแม่น้ำแอมะซอน จัดเป็นโลมาแม่น้ำ หรือโลมาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดแท้ ๆ โดยที่ไม่พบในทะเล มีความยาวประมาณ 1.53-2.4 เมตร (5.0-7.9 ฟุต) ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวที่ใหญ่ที่สุด เป็นตัวเมียที่มีความยาวถึง 2.5 เมตร (8.2 ฟุต) และน้ำหนักตัว 98.5 กิโลกรัม (217 ปอนด์) ขณะที่ตัวผู้ที่ใหญ่ที่สุด ยาว 2.0 เมตร (6.6 ฟุต) และน้ำหนักตัว 94 กิโลกรัม (210 ปอนด์) นอกจากนี้แล้วกระดูกสันหลังบริเวณคอมีความยืดหยุ่นจึงสามารถทำให้หันหัวได้ 180 องศา ซึ่งความยืดหยุ่นตรงนี้เองที่ทำให้เป็นสิ่งสำคัญในการว่ายน้ำผ่านต้นไม้ต่าง ๆ และวัสดุกีดขวางต่าง ๆ ในป่าน้ำท่วม
 
 
 
 
               3. บุชด็อก (อังกฤษ: Bush dog, Savannah dog[1]; ชื่อวิทยาศาสตร์: Speothos venaticus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวของสกุล Speothos ที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน[3]
บุชด็อก แม้จะอยู่วงศ์เดียวกับหมาป่าหรือสุนัขบ้าน แต่กลับมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนากหรือพังพอนมากกว่าจะเป็นสุนัข เนื่องจากลำตัวยาว ขาสั้น ขนสั้น หางสั้น ใบหูกลมสั้น ที่อุ้งตีนมีพังผืด จึงทำให้มีความสามารถว่ายน้ำได้ดี และดำน้ำได้เก่งมาก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ยาวประมาณ 55–75 เซนติเมตร (22–30 นิ้ว) และความยาวหาง 13 เซนติเมตร (5 นิ้ว) มีความสูงจากตีนถึงหัวไหล่ 20–30 เซนติเมตร (8–12 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 5–8 กิโลกรัม (11–18 ปอนด์) และมีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า Upper: 3.1.4.1, lower: 3.1.4.2 มีฟันทั้งหมด 38 ซี่[4]
                   บุชด็อก ถือเป็นสุนัขชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง โดยใช้ชีวิตในป่าดิบชื้น โดยเฉพาะที่ใกล้กับแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งหากินหลัก พบได้ตั้งแต่ที่ราบลุ่มจนถึงที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร (6,200 ฟุต) จนถึงที่ราบเซอราโดอันเป็นทุ่งหญ้ากว้างไกลในบราซิลด้วย[1] โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[2]
นิสัยตามธรรมชาติของบุชด็อก เป็นสัตว์ที่ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ล่าสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร รวมถึงอาร์มาดิลโล ที่มีเกราะหุ้มตัวด้วย



 

4. พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ หรือ แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่เล็ก (อังกฤษ: Pink fairy armadillo, Lesser fairy armadillo; ชื่อวิทยาศาสตร์: Chlamyphorus truncatus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกอาร์มาดิลโล่ชนิดหนึ่ง นับเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chalamyphorus[2]
จัดเป็นอาร์มาดิลโล่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีรูปร่างลักษณะประหลาด คือ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ขณะที่ส่วนท้ายลำตัวมีแผ่นปิดอยู่เป็นแผงขนยาว ส่วนหางสั้น มีเกราะหุ้มตัวเฉพาะแค่ด้านหลัง ขณะที่ด้านข้างและด้านล่างลำตัวเป็นขนอ่อนนุ่มสีชมพู มีกรงเล็บหน้าที่แหลมคม โดยเฉพาะตีนหน้า
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีความยาวแค่ 4-6 นิ้วเท่านั้น อาศัยอยู่เฉพาะแถบตะวันตกของประเทศอาร์เจนตินา เช่น จังหวัดเมนโดซา เท่านั้น โดยอาศัยในพื้นที่ ๆ แห้งแล้งแบบทะเลทรายเท่านั้น พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่ มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "Pichi ciego" (/พิ-ชี่-ซิ-โก้/) เป็นสัตว์ที่ออกหากินเฉพาะในเวลากลางคืน โดยกินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ด้วย เช่น ซากวัว ในบางครั้งจะขุดโพรงใต้ดินอยู่ใต้พื้นที่ซากสัตว์นั้นตาย เพื่อง่ายต่อการกินหนอนหรือแมลงที่มาตอมซาก
พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิโล่ เป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะพบเห็นตัวได้ง่าย และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีข้อมูลน้อยมาก ชาวพื้นเมืองของอาร์เจนตินากล่าวว่า จะพบเห็นได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในแต่ละปี โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตก ซึ่งพื้นที่ ๆ ที่มันอยู่อาศัยนั้นมีปริมาณฝนตกต่อปีน้อยกว่า 200 มิลลิเมตรเสียด้วยซ้ำ พิงค์แฟร์รี่อาร์มาดิลโล่จะโผล่ออกมาจากโพรงหลังฝนตก เป็นเพราะน้ำท่วมโพรง และออกมาหาแมลงกินอีกประการหนึ่ง โดยปกติแล้ว พวกมันจะอาศัยและเดินทางในโพรงใต้ดินด้วยการขุดโพรงไปเรื่อย ๆ เหมือนตุ่นสีทองในทวีปแอฟริกา หรือตุ่นมาร์ซูเปียล ที่เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในทะเลทรายของออสเตรเลียตะวันตก[






5. เพนกวินฮัมโบลด์ หรือ เพนกวินเปรูเวียน หรือ แพทรานกา (อังกฤษ: Humboldt penguin, Peruvian penguin, Patranca) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spheniscus humboldti
จัดเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่มีจุดเด่นคือ มีสีดำคาดที่หน้าอก บริเวณใต้คอและรอบดวงตาสีขาว จะงอยปากเป็นเนื้อสีชมพู
พบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปอเมริกาใต้ ออกลูกเป็นไข่ครั้งละ 2 ฟอง อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและโขดหินริมทะเล โดยตัวผู้เป็นฝ่ายกกไข่ ทำรังด้วยการขุดโพรงตามพุ่มไม้หรือป่าละเมาะริมทะเล สร้างรังด้วยก้อนหิน กิ่งไม้หรือใบไม้ เป็นสัตว์สังคมอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงร้อง [2]
เพนกวินชนิดนี้นิยมเลี้ยงกันตามสวนสัตว์ ในประเทศไทย มีการเลี้ยงที่สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์สงขลา และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นต้น



วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ

สัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ


1. กวางเอลค์  (อังกฤษ: Elk) เป็นกวางขนาดใหญ่ หัวยาว คอและหางสั้น ขายาว เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีเขาเฉพาะตัวผู้ กวางเอลก์โตเต็มที่เขาจะมีแขนงข้างละประมาณ 10 - 12 กิ่ง ขนลำตัวหยาบสีน้ำตาล หางสั้น ลำตัวจากปลายปากถึงโคนหางยาวประมาณ 2.5 เมตร หางยาวประมาณ 20 เซนติเมตร สูงช่วงไหล่ประมาณ 1.5 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 250-450 กิโลกรัม มีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินอพยพไปเรื่อยๆ ชอบอยู่ในทุ่งโล่งๆตัวผู้จะดุเมื่อเขาแก่ขวิดแย่งตัวเมีย ว่ายน้ำเก่ง
 
 
2. ชิพมังค์ (อังกฤษ: Chipmunk) เป็นกระรอกขนาดเล็กสกุลหนึ่ง อยู่ในสกุล Tamias จัดเป็นกระรอกดินจำพวกหนึ่ง กระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ และบางชนิดพบได้ในทวีปเอเชียตอนบนและตะวันออก
           ชิพมังค์ มีลักษณะคล้ายกับกระเล็น (Tamiops spp.) ซึ่งเป็นกระรอกต้นไม้และพบได้ในเอเชียอาคเนย์ คือ เป็นกระรอกขนาดเล็ก และมีลายแถบเป็นริ้วสีขาวและดำคล้ำลากผ่านบริเวณใบหน้าทั้งสองด้าน, หลัง และหาง สีขนตามลำตัวจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่สีเทาจนถึงสีน้ำตาลออกแดงต่างกันตามแต่ชนิด ขนาดโดยเฉลี่ย ความยาวลำตัวประมาณ 8–11.5 นิ้ว มีหางที่มีขนเป็นพวงฟูต่างจากกระเล็น ความยาวประมาณ 3–4 นิ้ว นอกจากนี้แล้วชิพมังค์ยังมีกระพุ้งแก้มที่ใช้สำหรับเก็บอาหารได้อีกด้วย
ชิพมังค์ จะสร้างโพรงในระดับต่ำกว่าพื้นดิน ทางเข้าจะมีการปิดบังไว้ใต้ก้อนหินหรือพุ่มไม้ต่าง ๆ เป็นอย่างดี แม้จะอยู่ในโพรงแล้วก็ตาม ชิพมังค์ก็ยังเป็นสัตว์ที่ตื่นตัวตลอดเวลา มีการระแวดระวังภัยสูง เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลาย แต่ส่วนมากจะเป็น ลูกไม้ชนิดต่าง ๆ แม้กระทั่งลูกไม้ที่มีเปลือกแข็ง, ถั่ว, เมล็ดพืช, ข้าว, ไข่นก, แมลง แม้กระทั่งเห็ดรา
            มีฤดูผสมพันธุ์ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ตัวเมียจะออกลูกครอกละ 2–8 ตัว ลูกชิพมังค์จะอยู่กับพ่อแม่เป็นเวลา 2 เดือนและหลังจากนั้นจะจากไปหาอาหารด้วยตนเอง หลังจากผ่านไป 5 เดือน ชิพมังค์วัยอ่อนจะเจริญเติบโตจนมีขนาดตัวโตเต็มวัย ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาว อาหารหายาก จะเข้าสู่การจำศีลด้วยการนอนอยู่นิ่ง ๆ ในโพรงของตัวเอง จนกว่าจะถึงฤดูร้อน ชิพมังค์มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 2–3 ปี
 
 

 

3. ฟิชเชอร์ (อังกฤษ: Fisher, Pekan, Pequam, Wejack, Fisher cat; ชื่อวิทยาศาสตร์: Martes pennanti) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae)
ฟิชเชอร์จัดอยู่ในสกุลหมาไม้ (Martes spp.) มีความยาวลำตัวและส่วนหัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 32-40 นิ้ว หางยาว 13-16 นิ้ว น้ำหนัก 1.3-5.4 กิโลกรัม มีอายุขัยประมาณ 10 ปี ทั้งในธรรมชาติและสถานที่เลี้ยง
จัดเป็นหมาไม้ที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีสีขนสีดำและน้ำตาลเข้ม หางเรียวยาว สีขนจะเปลี่ยนไปในช่วงฤดูหนาว โดยปลายขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
พบกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้างขวางในทวีปอเมริกาเหนือ (แบ่งออกเป็น 3 ชนิดย่อย-ดูในตาราง)[2] ในป่าที่หนาทึบเช่น ไม้เนื้อแข็งและโกเฟอร์ นอกจากนี้ยังอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำอีกด้วย
ฟิชเชอร์ ผสมพันธุ์ในช่วงตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ มีระยะเวลาตั้งท้องราว 353 วัน ออกลูกครั้งละ 1-5 ตัว (โดยเฉลี่ย 3) ซึ่งตัวเมียกว่าจะผสมพันธุ์และออกลูกได้อีกครั้งต้องเว้นเป็นระยะเวลานาน ลูกที่เกิดใหม่จะมีร่างกายและขนเบาบาง ตาจะยังปิดอยู่จะกระทั่งอายุได้ 7 สัปดาห์ จะอาศัย อยู่ในรังกับพ่อแม่จนอายุได้ 3 เดือน จึงจะแยกตัวออกไป
ฟิชเชอร์ ถูกมนุษย์ล่าเพื่อเอาหนังและขนทำเป็นเสื้อขนสัตว์ เช่นเดียวกับสัตว์ในวงศ์นี้สกุลและชนิดอื่น
 
 
 
4.  ปลาฉลามปากเป็ด (อังกฤษ: American paddlefish, Mississippi paddlefish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Polyodon spathula) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes)
ถึงแม้มีรูปร่างโดยผิวเผินคล้ายปลาฉลามและมีคำว่าปลาฉลามอยู่ในชื่อ แต่ทางอนุกรมวิธานไม่จัดเป็นปลาฉลามแต่อย่างใด พบในบริเวณแม่น้ำมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา ปลาฉลามปากเป็ดมีความยาวได้ถึง 7 ฟุต และมีน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือจงอยจมูกที่ยาวและแบนคล้ายปากของเป็ด สามารถตรวจจับไฟฟ้าได้ ซึ่งใช้หาอาหารและนำร่องในการว่ายน้ำไปยังแหล่งผสมพันธุ์ กินแพลงตอนสัตว์เป็นอาหาร โดยจะอ้าปากกรองแพลงตอนสัตว์เวลาว่ายน้ำ ปลาฉลามปากเป็ดเป็นปลามีอายุยีนได้ถึง 30 ปี แพร่พันธุ์โดยการวางไข่ครั้งละหลายหมื่นฟอง ไข่ปลาสามารถเอามาใช้เป็นไข่ปลาคาเวียร์ได้ เช่นเดียว กับไข่ของปลาสเตอร์เจียน

 
 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สัตว์ประจำชาติของแต่ละประเทศ

สัตว์ประจำชาติของแต่ละประเทศ
 
 
นกกระเรียน (ประเทศญี่ปุ่น)
 
นกกระเรียนญี่ปุ่น Japanese crane(Red-crowned crane) (ภาษาญี่ปุ่น Tancho-zuru) หรือ Manchurian crane (japonensis Grus)นกเป็นนกกระเรียนขนาดใหญ่ที่หายากเป็นอันดับสองของโลกในบรรดานกกระเรียนทุกสายพันธุ์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก นกชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง โชคลาภ ความยืนยาวของอายุ และ ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี นกกระเรียนพันธุ์นี้ มักปรากฏอยู่ในตำนานเทพนิยาย ต่างๆของโลกตะวันออก มีความสูงถึง 55 นิ้ว ทำให้ตกเป็นเหยื่อของนักล่าได้ง่าย เมื่ออยู่ในถิ่นอาศัยธรรมชาติตามหนองบึง จะพบเห็นตัวได้ง่ายและเด่นชัด เมื่อโตเต็มวัย ขนทั้งตัวจะเป็นสีขาวหิมะ ด้านบนส่วนหัวจะเป็นผิวหนังสีแดง ผิวหนังส่วนนี้จะเป็นสีแดงสว่างขึ้นเวลาโกรธหรือตื่นเต้น เพศผู้มีน้ำหนักประมาณ 15 กิโลกรัม
 
หมีแพนด้า (ประเทศจีน)
 
 
ลักษณะทางกายภาพแพนด้ามีขนบริเวณ หู รอบดวงตา จมูก ขา หัวไหล่ สีดำ ในขณะที่บริเวณอื่นจะมีสีขาว มีฟันกรามขนาดใหญ่ และมีกล้ามเนื้อขากรรไกรที่แข็งแรงสำหรับเคี้ยวต้นไผ่ ซึ่งเป็นอาหารของมัน ตัวของมันที่อ้วนและลักษณะการเดินที่อุ้ยอ้าย ทำให้มันดูเป็นสัตว์ที่น่ารัก แต่ในยามที่มีภัยมาถึงตัว แพนด้าก็มีวิธีการต่อสู้เหมือนหมีทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์คิดว่าลักษณะสีขาว-ดำ ของแพนด้า อาจช่วยให้มันดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขา และมีหิมะ
ขนาด
เมื่อวัดส่วนสูงในท่ายืน 4 เท้า แพนด้าสูงประมาณ 2-3 ฟุต จากเท้าถึงหัวไหล่ ในขณะที่ท่ายืน 2 เท้า วัดได้ 4-6 ฟุต น้ำหนักประมาณ 80 ถึง 125 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย 10 ถึง 20 %


ถิ่นที่อยู่อาศัย
แพนด้าอาศัยอยู่ในป่าไผ่ที่ความสูงประมาณ 3,600 ถึง 10,500 ฟุต ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่านี้ แต่การถางป่าเพื่อทำฟาร์ม หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ทำให้มันต้องเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัย เราพบแพนด้าอาศัยอยู่บริเวณภูเขาทั้งในตอนกลาง และตะวันตกของประเทศจีน
 
 
 
นกอินทรีย์ (ประเทศอเมริกา)
 
นกอินทรีหัวขาว (The Bald Eagle) ได้ชื่อว่าเป็นนกอินทรีที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นนกที่ล่าเหยื่อหาอาหารกินเอง ปลาเป็นอาหารโปรด มีถิ่นกำเหนิดในประเทศอเมริกา ถ้าโตเต็มที่ จะมีน้ำหนัก ประมาณ 4 - 5.5 กิโลกรัม ( 9 - 12 ปอนด์) ช่วงปีก จากปลายปีกทั้งสองข้างยาวประมาณ 7 ฟุต (ถ้าจับมาตั้งจะสูงกว่าความสูงของคนทั่วไป นะครับ) ตัวเมีย จะโตกว่าตัวผู้ครับ สามารถบินได้เร็วประมาณ 48 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ระยะแม่นยำในการมองเห็นเหยื่ย เช่นปลาในแม่น้ำ ประมาณ 1 ไมล์ หรือ 1.6 กิโลเมตร
 
นกกีวี (ประเทศนิวซีแลนด์)

          นกกีวี (อังกฤษ: Kiwi) เป็นนกจำพวกหนึ่งที่บินไม่ได้ มีลักษณะที่แปลกไปจากนกอื่น ๆ ด้วยมีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน เป็นนกออกหากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในธรรมชาติอยู่ในนิวซีแลนด์เท่านั้น นกกีวีจัดอยู่ในสกุล Apteryx ในวงศ์ Apterygidae
         
            ต้นไม้ได้[5] ซึ่งอาหารจะได้แก่ แมลงตัวเล็ก ๆ หนอน และเมล็ดพืช แต่บางชนิดจะกินผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ปลาไหล หรือแม้แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เพราะว่ารูจมูกอยู่ที่ปลายปากแหลม ๆ ทำให้สามารถกินแมลงหรือหนอนใต้ดินได้ลึกถึง 6 นิ้ว โดยที่ไม่ต้องมองเห็น เพียงแค่จิกลงไปเฉย ๆ
นกกีวีอาศัยอยู่ในที่แห้ง โดยเฉพาะในป่า แต่สามารถปรับตัวให้เข้ากับหลาย ๆ สถานที่ได้อย่างง่ายดาย นกกีวีมีประสาทในการดมกลิ่นได้ดีเยี่ยม เช่นเดียวกับนกตัวอื่น ๆ แต่เป็นนกจำพวกเดียวเท่านั้นที่มีรูจมูกอยู่ตรงปลายจะงอยปากที่สามารถรับแรงสั่นสะเทือน และความดันได้เป็นอย่างดี นกกีวีหากินบนพื้นดิน เพราะไม่สามารถปีนป่ายขึ้น








 

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สัตว์ประจำชาติเอเซียน 10 ประเทศ

สัตว์ประจำชาติเอเซียน 10 ประเทศ

1.ประเทศไทย   สัตว์ประจำชาติ- ช้างไทย (ช้างเอเชีย)













2.ประเทศกัมพูชา   สัตว์ประจำชาติ – กรูปรี (พบได้ทางเหนือของกัมพูชา ทางใต้ของลาว ทางตะวันตกของเวียดนาม และทางตะวันออกของไทย ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบมานานแล้ว จนครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันเชื่อว่าอาจจะยังพอมีหลงเหลืออยู่ในชายแดนไทยกับกัมพูชาแถบจังหวัดศรีสะเกษ เพราะมักจะมีข่าวว่าพบสัตว์ลักษณะคล้ายกูปรีบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอ นอกจากคำเล่าลือเท่านั้น)










3.ประเทศฟิลิปปินส์  สัตว์ประจำชาติ -คาราบาว ภาษาตากาล็อก (ภาษาฟิลิปปินส์) แปลว่า กระบือ (สัตว์ประจำชาติ)

4.  ประเทศมาเลเซีย  สัตว์ประจำชาติ-เสือโคร่งมลายู


5.  ประเทศเมียนมาร์ (พม่า)  สัตว์ประจำชาติ-เสือโคร่ง

             6.  ประเทศลาว     สัตว์ประจำชาติ - ช้างเอเชีย







7.  ประเทศเวียดนาม  สัตว์ประจำชาติ-กระบือ







  8.  ประเทศสิงคโปร์   สัตว์ประจำชาติ – สิงโต











9.  ประเทศอินโดนีเซีย   สัตว์ประจำชาติ – มังกรโคโมโด




10.ประเทศบรูไน   สัตว์ประจำชาติ – ไม่มี